วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ไข่เป็ด 5 ฟอง

     มีครอบครัวหนึ่งซึ่งอากัยอยู่ในบ้านชายทุ่งใกล้ปาช้าของวัด ครอบครัวนี้ประกอบด้วยยายตาล ซึ่งตาบอดมาตั้งแต่เกิด แกแต่งงานและมีลูกชายหนึ่งคน ชื่อจันทร์ เมื่อลูกชายอายุได้20 ปี สามี ของแกก็มาตายจากไป เป็นหน้าที่ของจันทร์ที่จะต้องออกไปป่าหาผัก     หาปลามาเป็นอาหารเลี้ยงแม่แทนพ่อที่ 
จากไป 

     ต่อมาจันทร์พบกับนางแรมและอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา นำมาซึ่งปัญหามากมายให้กับครอบครัวของจันทร์
 
   วันหนึ่งนายจันทร์ออกไปยิงนกตกปลาตามปกติ โชคร้ายไม่ได้อะไรนอกจากไข่เป็ดป่า 5 ฟอง นายจันทร์นำไข่เป็ดมาให้นางแรม ผู้ภรรยาแล้วสั่งว่า
     "เอาไข่เป็ด 5 ฟองนี้ไปต้ม 2 ฟองไปไห้แม่กิน ส่วน 3 ฟอง ที่เหลือให้เก็บไว้กินเย็นนี้" 
     เมื่อนายจันทร์สั่งเมียเสร็จก็ออกไปล่าสัตว์ มาเป็นอาหารเพิ่มเติม นางแรมเมื่อได้ฟังผู้เป็นสามีสั่งหาได้ทำตามคำสั่งไม่ จัดการต้มไข่เป็ดทั้งหมดแล้วกินเองเสีย 2 ฟอง ส่วน 3 ฟองที่เหลือเก็บ เอาไว้เป็นอาหารเย็น แล้วหาลูกมะนาวปอกเปลือก 2 ลูกมาใส่ชามข้าวไปให้ยายตาลผู้เป็นแม่สามีตาบอดกิน ยายตาลไม่นึกอะไรกิน มะนาวไป 1 ลูกและเก็บไว้หนึ่งหวังว่าเมื่อลูกชายตนกลับมาจะได้มีอาหารกิน
      เย็นวันนั้นทั้งสามต่างนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน จันทร์ ถามแเม่ว่า ตอนกลางวันได้กินไข่เป็ดป่าแล้วหรือยัง ยายตาลตอบว่า "แม่กินไปแล้ว 1 ฟอง แต่ทำไมไข่เป็ดป่าถึงมีรสชาติเปรี้ยว เหมือนมะนาวละ นี่ไงแม่ยังเก็บไว้ให้ลูกกินฟองหนึ่งเลย’’
     เมื่อนายจันทร์รู้ความจริงที่ภรรยาไม่ยอมให้ไข่เป็ดแม่กินก็ เสียใจจึงต่อว่าภรรยาเป็นการใหญ่ นางแรมเห็นสามีโกรธก็แสดงจริต ร้องห่มร้องไห้แล้วพูดว่า
     "ฉันได้เอาไข่ที่ต้มไปให้แม่แล้ว แต่แม่อาจจะนำมะนาวมา เปลี่ยนเพื่อให้ตนกับสามีผิดใจกันก็ได้’’
     นายจันทร์โด้ฟังภรรยาว่าก็หลงเชื่อ และคิดว่าแม่ของตนเอง เป็นคนโกหก หลอกลวง จึงคิดหาวิธีทางที่จะกำจัดเม่ทิ้งเสียเพราะ อยู่ไปก็จะทำให้ตนและภรรยาอยู่กันอย่างไม่มีความสุข
     ด้งนั้นเมื่อยายตาลเข้านอน ทั้งสองสามีภรรยาก็นำผ้ามัดมือ มัดเท้า มัดปาก แล้วจับยายตาลใส่โลงช่วยกันแบกไปที่ป่าช้าเพื่อที่จะทำการเผาทั้งเป็น มาถึงป่าช้าทั้งสองคนกลับลืมไม้ขีดไฟมาด้วยและ ต่างเกี่ยงกันที่จะกลับไปเอาที่บ้าน จึงตกลงใจที่จะกลับไปบ้านด้วยกัน ทิ้งยายตาลไว้ในโลงตามลำพัง ยายตาลเองเมื่อรู้ว่าตนเองนั้นกำลังจะ ถูกลูกชายและลูกสะใภ้ฆ่าก็เสียใจ จึงดิ้นรนพาตัวเองออกมาจากโลงได้ และแอบไปหลบซ่อนที่ใต้ถุนของศาลาวัด เมื่อลูกสะใภ้และลูกชายกลับมาจึงจุดไฟเผาโลงศพและกลับไปโดยที่ไม่รู้ว่ายายตาลออกจากโลงไปแล้ว
     ขณะนั้นเองมีโจรกลุ่มหนึ่งได้หนีมาจากการบุกปล้นบ้านเศรษฐีแห่งหนึ่งแล้วนำเงินมาแบ่งกันที่บนศาลาวัด ขณะกำลังนับเงินได้ยินเสียงยายตาลขอความช่วยเหลือ ต่างตกใจนึกว่าเป็นเสียงของวิญญาณเศรษฐีที่ตนเองได้ฆ่าไป ต่างก็วิ่งหนีหายกันไปหมด โดยที่ทิ้งเงินทองเอาไว้บนศาลาวัดนั้น ยายตาลกระเสือกกระสนดิ้นรนขึ้นไปบนศาลาวัดและพบเงินทองจำนวนมากของพวกโจร คิดจะนำไปให้เจ้าของแต่ไม่รู้ว่าจะไปคืนกับใคร ยายตาลจึงตัดสินใจนำเงินทั้งหมดใส่ผ้าห่อกลับไปบ้าน 
     เมื่อมาถึงบ้านก็ตะโกนเรียกลูกชาย  จันทร์และนางแรมได้ยินเสียงแม่เรียกก็เกิดความกลัวนึกว่าวิญญาณของแม่ สักพักหนึ่งเมื่อรู้ว่าเป็นแม่จริงๆ แม่ยังไม่ตายจึงลงไปหา แล้วถามยายตาลว่า
     ‘‘แม่มาได้ยังไง แม่ตายไปแล้วไมใช่เหรอ " 
     ยายตาลตอบว่า ‘‘ข้าไปสวรรค์มาแล้ว แต่สวรรค์ส่งข้ากลับมาพร้อมเงิน จำนวนมาก"
     เมื่อนางแรมภรรยาได้พังด้งนั้น ด้วยความโลภก็รีบพูดกับนายจันทร์ผู้เป็นสามีว่า
     ‘‘คราวหน้าฉันเอามั่ง พี่เอาฉันไปใส่โลงแล้วเผาฉันจะได้ขึ้นสวรรค์ไปนำเงินทองกลับมา เราจะได้รวยเหมือนแม่"
     ฝ่ายสามีเห็นด้วยรีบจับนางแรมใส่โลงแบกไปที่ป่าช้า ลงมือเผาโลงที่นางแรมอยู่ไหม้จนเหลือแต่ขี้เถ้า  รออยู่หลายวันนางแรมก็ไม่กลับมาหาเสียที จันทร์จึงตัดสินใจไปดูที่โลงเห็นเป็นเศษกระดูกที่ถูกเผาจึงแน่ใจว่า ภรรยาของตนได้ ตายไปจากโลกนี้แล้วด้วยฝีมือตนเอง ทำให้นายจันทร์เสียใจกินไม่ได้ นอนไม่หลับตั้งแต่นั้น
     ยายตาลเห็นอาการของลูกจึงนึกสงสาร แต่อยากให้ลูกรู้สำนึกจึงมอบเงินให้ลูกจำนวนหนึ่งไปหาซื้อแม่ตามที่ต่างๆ นายจันทร์ หายไปหลายวัน กลับมาถึงบ้านก็พูดกับแม่ว่า
     "ฉันไปหาซื้อแม่ตามที่แม่บอก แต่ไม่มีใครยอมขายให้แม้แต่คนเดียว"
     วันรุ่งขึ้นยายตาลก็ให้เงินลูกชายของตนไปหาชื้อเมียใหม่บ้าง เมื่อลูกชายกลับมาถึงบ้านก็บอกแม่ว่า
     "ฉันไปหาชื้อเมียตามที่แม่บอก มีแต่คนที่จะขายให้’
     ยายตาลได้ยินดังนั้นก็สอนลูกว่า "เมียนะหาซื้อเมื่อไรก็ได้ แต่แม่นั้นหาซื้อที่ไหนก็ไม่มีใครขายให้"
    เมื่อนายจันทร์ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกผิดขึ้นมา แล้วก้มลงกราบที่เท้าของแม่เพื่อขอโทษ นับตั้งแต่นั้นมาทั้งสองแม่ลูกก็อยู่กันอย่างมีความสุข